ภาพสไลด์

วันพฤหัสบดีที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

[MV] พลพล - กอดหน่อยได้ไหม (HD)

[MV]จากนี้ไปจนนิรันดร์-เอ๊ะ จิรากร official

[MV]ไม่มีตรงกลาง - Project Love Pill จิรากร(official)

วันเอดส์โลก

เป็นที่ทราบกันดีว่า โรคเอดส์เป็นโรคติดต่อร้ายแรง ที่ยังไม่มียาตัวใดรักษาให้หายขาดได้ อีกทั้งยังเป็นโรคที่คร่าชีวิตมนุษย์เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะในทวีปแอฟริกา เอเชียใต้ และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พบโรคเอดส์มากที่สุด

ดังนั้น จึงได้มีการพยายามหามาตรการเพื่อป้องกัน และหยุดยั้งโรคเอดส์ให้เป็นผลสำเร็จ โดยองค์การอนามัยโลก (WHO) ได้กำหนดให้วันที่ 1 ธันวาคม ของทุกปี เป็นวันเอดส์โลก หรือ World AIDS Day ซึ่งเริ่มครั้งแรกในวันที่ 1 ธันวาคม 2531 โดยมีวัตถุประสงค์ ดังนี้

เพื่อให้ทุกคนได้ตระหนักถึงอันตรายจากการติดต่อของโรคเอดส์ และการเจ็บป่วยจากโรคเอดส์

เพื่อสร้างเสริมและสนับสนุน ให้มีมาตรการการป้องกันโรคเอดส์ให้มากยิ่งขึ้นในสังคมทุกระดับ

เพื่อให้มีการจัดกิจกรรมต่อต้านต่างๆ ดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง

เพื่อส่งเสริมให้เกิดการยอมรับ และห่วงใยต่อผู้ป่วยและผู้ติดเชื้อเอดส์

เพื่อเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับโรคเอดส์ให้กว้างขวางยิ่งขึ้น


สัญญาลักษณ์วันเอดส์โลก

โรคหนองในเทียม Non Gonococcal Urethritis (NSU)

โรคหนองในเทียมหมายถึงการอักเสบของท่อปัสสาวะที่เกิดเชื้อโรคที่ไม่ใช่หนองในแท้ (Gonococcal Urethritis) สำหรับเชื้อที่เป็นสาเหตุของโรคหนองในเทียมได้แก่



Chlamydia trachomatis
Ureaplasma urealyticum 10-40%
Trichomonas vaginalis (rare)
Herpes simplex virus (rare)
Adenovirus
Haemophilus vaginalis
Mycoplasm genitalium
เชื้อที่เป็นสาเหตุบ่อยที่สุดคือ Chlamydia trachomatis

เราได้รับเชื้อหนองในเทียมได้อย่างไร

คนติดเชื้อหนองในเทียมจากการมีเพศสัมพันธ์ไม่ว่าจะทางทวาร ปาก หรือทางช่องคลอด นอกจากนั้นก็มีโรคที่ทำให้เกิดหนองในเทียมเช่น

การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ
การอักเสบของต่อมลูกหมาก
ท่อปัสสาวะตีบ urethral stricture
การอักเสบของหนังหุ้มอวัยวะเพศ
การใส่สายสวนปัสสาวะ
อาการของผู้ที่เป็นหนองในเทียม

ผู้ชาย

หนองไหลออกจากอวัยวะเพศ
ปวดแสบร้อนเวลาปัสสาวะ
คันหรือระคายเคืองท่อปัสสาวะ
ปวดหน่วงบริเวณอวัยวะเพศ
ผู้หญิง

ตกขาว
ปัสสาวะขัด
ปวดท้องน้อย มีเลือดออกขณะร่วมเพศ
การวินิจฉัยโรคต้องทำอย่างไร

การวินิจฉัยทำโดยการน้ำหนองหรือสารคัดหลั่งจากช่องคลอด หรืออวัยวะเพศมาเพาะเชื้อ หรือส่องกล้องตรวจ
เมื่อย้อมจะพบเม็ดเลือดขาวมากกว่า 5 เซลล์
การป้องกัน

วิธีดีที่สุดคือการงดเพศสัมพันธ์
ใช้ถุงยางอนามัย
มีสามีหรือภรรยาคนเดียว
หากต้องการมีคู่นอนคนใหม่ต้องตรวจเช็คก่อนทุกครั้ง
หากคุณเป็นโรคหนองในเทียมให้งดการมีเพศสัมพันธ์
ให้รักษาทั้งตัวคุณเองและคู่ครอง
การรักษา

ยาที่ใช้ในการรักษามี Azithromycin 1 g รับประทานครั้งเดียว
หรืิอ Doxycycline 100 mgรับประทานวันละ 2 ครั้งเป็นเวลา 7วัน
ยาที่เป็นตัวเลือกอื่น Erythromycin 500 mg รับประทานวันละ 4 ครั้งเป็นเวลา 7 วัน
หรือ Ofloxacin 300 mg วันละ 2 ครั้งเป็นเวลา 7 วัน
สำหรับผู้ที่เป็นเรื้อรังหรือรักษาไม่หายให้ใช้ยา Metronidazole 2 g รับประทานครั้งเดียวและ Erythromycin 500 mg รับประทานวันละ 4 ครั้งเป็นเวลา 7 วัน
โรคแทรกซ้อนที่สำคัญ

หากท่านเป็นโรคหนองในเทียมโดยที่มีหรือไม่มีอาการแล้วไม่ได้รักษาท่านอาจจะมีโรคแทรกซ้อนที่สำคัญคือ

ในผู้ชาย

การอักเสบของอัณฑะ Epididymitis ซึ่งหากไม่รักษาอาจจะทำให้เป็นหมัน
ข้ออักเสบ Reiter's syndrome (arthritis)
เยื่อบุตาอักเสบ Conjunctivitis
ผื่นที่ผิวหนัง Skin lesions
หนองไหล Discharge
ในผู้หญิง

อุ้งเชิงกรานอักเสบPelvic Inflammatory Disease (PID)ซึ่งอาจจะทำให้เกิดการตั้งครรภ์นอกมดลูก
ปวดท้องน้อยเรื้อรัง Recurrent PID ซึ่งอาจจะทำให้เป็นหมัน
ท่อปัสสาวะอักเสบ Urethritis
ช่องคลอดอักเสบ Vaginitis
แท้ง Spontaneous abortion (miscarriage)

ฝีมะม่วง LYMPHOGRANULOMA VENEREUM (LGV)

ฝีมะม่วงหมายถึงต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบอักเสบจากเชื้อ ผู้ป่วยที่มาด้วยก้อนที่ขาหนีบและปวด หรือที่ชาวบ้านเรียกไข่ดันบวมซึ่งพบได้บ่อยโรคนี้เกิดจากเชื้อ Chlamydia trachomatis ผู้ป่วยอาจจะไม่ทันสังเกตเห็นแผลที่อวัยวะเพศ



การวินิจฉัย

ผู้ป่วยที่มีการอักเสบของต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบโต กดเจ็บและตรวจไม่พบหลักฐานว่าเป็นโรค เริม ซิฟิลิส หรืแผลริมอ่อน ให้สงสัยว่าเป็นโรคนี้ ยืนยันการวินิจฉัยโดยการเจาะเลือดตรวจหาภูมิ

การรักษา

ยาที่ใช้รักษาได้แก่ Doxycyclin 100mg เช้า-เย็นเป็นเวลา 21 วัน หรือ erythromycin 500 mg วันละ 4 ครั้งเป็นเวลา 21 วัน

โรคไวรัสตับอักเสบ

ตับเป็นอวัยวะที่สำคัญของร่างกาย ปกติจะมีน้ำหนัก 1.5 กิโลกรัม โดยอยู่หลังกระบังลม

หน้าที่ของตับ

เป็นคลังสะสมอาหาร เช่น แป้ง ไขมัน โปรตีน เอาไว้ใช้ และปล่อยเมื่อร่างกายต้องการ
สังเคราะห์สารต่างๆ เช่น น้ำดี สารควบคุมการแข็งตัวของเลือด ฮอร์โมน
กำจัดสารพิษ และสิ่งแปลกปลอม เช่นเชื้อโรค หรือยา อ่านการทำงานของตับ
โรคตับชนิดต่างๆ

ตับมีโอกาสเป็นโรคต่างๆได้แก่ โรคตับอักเสบ hepatitis โรคตับแข็ง [cirrhosis] มะเร็งตับ [liver cancer] โรคไขมันในตับ [fatty liver] โรคฝีในตับ [liver abscess]

โรคตับอักเสบมี 2 ชนิด

โรคตับอักเสบเฉียบพลัน [acute hepatitis] หมายถึงโรคตับอักเสบที่เป็นไม่นานก็หาย ผู้ป่วยส่วนใหญ่มีอาการ 2-3 สัปดาห์โดยมากไม่เกิน 2 เดือน ผู้ป่วยส่วนใหญ่หายขาดจะมีบางส่วนเป็นตับอักเสบเรื้อรัง และบางรายรุนแรงถึงกับเสียชีวิต
โรคตับอักเสบเรื้อรัง [chronic hepatitis] หมายถึงตับอักเสบที่เป็นนานกว่า 6 เดือนจะแบ่งเป็น 2 ชนิด
chronic persistent เป็นการอักเสบของตับแบบค่อยๆเป็นและไม่รุนแรงแต่อย่างไรก็ตามโรคสามารถที่จะทำให้ตับมีการอักเสบมาก
chronic active hepatitis.มีการอักเสบของตับ และตับถูกทำลายมากและเกิดตับแข็ง
สาเหตุของโรคตับอักเสบ

เชื้อไวรัส มีหลายชนิดได้แก่ ไวรัสตับอักเสบ เอ ,บ,ซี,ดี,อี
เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
ยาบางชนิด เช่น ยารักษาวัณโรค halothane, isoniazid, methyldopa, phenytoin, valproic acid, sulfonamide drugs. ผู้ป่วยหากได้ acetaminophen (พาราเซ็ตตามอล)ในขนาดสูงมากก็สามารถทำให้ตับถูกทำลายได้
เชื้อโรคบางชนิด เช่น ไทฟอยด์,มาลาเรีย
การอักเสบของตับจะทำให้ตับบวม มีการทำลายเซลล์ตับ ทำให้มีอาการอ่อนเพลียจากการทำงานผิดปกติของตับ หากการอักเสบเกิดขึ้นเป็นเวลานานจะทำให้ตับถูกทำลายมาก และถูกแทนที่ด้วยพังผืด ทำให้ตับมีแผลเป็น และมีลักษณะแข็งเป็นตุ่มๆ แม้ว่าสาเหตุของตับอักเสบจะมีมากมายแต่สาเหตุที่สำคัญคือไวรัสตับอักเสบ ปัญหาโรคตับอักเสบ บี และโรคตับอักเสบเรื้อรังเป็นปัญหาสำคัญทางสาธารณสุขของประเทศไทยและทั่วโลก การดำเนินของโรคตับอักเสบ บี และโรคตับอักเสบ ซีสามารถดำเนินเป็นโรคตับอักเสบเรื้อรัง เป็นตับแข็ง และเป็นมะเร็งตับ เป็นภาวะที่ก่อให้เกิดการสูญเสียทางครอบครัว ทางเศรษฐกิจเป็นอันมาก ดังนั้นการเข้าใจถึงโรคตับอักเสบ ซึ่งรวมถึงการติดต่อ การดำเนินของโรค การวินิจฉัย การรักษา และการป้องกันการติดต่อซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการดูแลและช่วยลดจำนวนผู้ป่วยลง

ไวรัสตับอักเสบมีกี่ชนิด

ไวรัสตับอักเสบ เอ
ไวรัสตับอักเสบ บี
ไวรัสตับอักเสบ ซี
ไวรัสตับอักเสบ ดี
ไวรัสตับอักเสบ อี
อาการของโรคไวรัสตับอักเสบ



ผู้ป่วยดีซ่านตาขาวและผิวจะมีสีเหลือง

ตับอักเสบเฉียบพลัน ผู้ป่วยจะมีอาการที่พบได้บ่อย คือ อ่อนเพลีย ปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อ ปวดข้อ คลื่นไส้อาเจียน เบื่ออาหาร อาจจะพบผื่นตามตัว หรืออาการท้องเสีย บางรายปัสสาวะสีเข้ม ตัวเหลืองตาเหลือง ซึ่งอาการตัวเหลืองตาเหลืองจะหายไป 1-4 สัปดาห์ แต่บางรายอาจนาน 2-3 เดือน ส่วนใหญ่จะหายเป็นปกติ โรคไวรัสตับอักเสบ บี พบว่าร้อยละ 5-10 เป็นตับอักเสบเรื้อรัง ส่วนไวรัสตับอักเสบ ซี ร้อยละ 85 เป็นตับอักเสบเรื้อรัง
ตับอักเสบเรื้อรัง ผู้ป่วยมักไม่มีอาการ แต่จะมีการทำลายเซลล์ตับไปเรื่อยๆจนเกิดตับแข็ง และเป็นมะเร็งตับในที่สุด
จะทราบได้อย่างไรว่าเป็นตับอักเสบ
หากสงสัยว่าจะเป็นโรคตับอักเสบท่านควรไปรับการตรวจเลือดเพื่อหาว่ามีการติดเชื้อหรือไม่โดย

ตรวจการทำงานของตับ โดยการหาระดับ SGOT[AST],SGPT [ALT]ค่าปกติน้อยกว่า 40 IU/L ถ้าค่ามากกว่า 1.5-2 เท่าให้สงสัยว่าตับอักเสบ หากพบว่าผิดปกติแพทย์จะขอตรวจเดือนละครั้งติดต่อกันอย่างน้อย 3 เดือน การแปรผลเลือด
การตรวจหาตัวเชื้อ
ไวรัสตับอักเสบ เอ ตรวจหา Ig M Anti HAV
ไวรัสตับอักเสบ บี ตรวจหา HBsAg ถ้าบวกแสดงว่ามีเชื้ออยู่ Anti HBs ถ้าบวกแสดงว่ามีภูมิต่อเชื้อ HBeAg ถ้าบวกแสดงว่าเชื้อมีการแบ่งตัว HBV-DNA เป็นการตรวจเพื่อหาปริมาณเชื้อ
ไวรัสตับอักเสบ ซี Anti-HCV เป็นการบอกว่ามีภูมิต่อเชื้อ HCV-RNA ดูปริมาณของเชื้อ
การตรวจดูโครงสร้างของตับ เช่นการตรวจคลื่นเสียงเพื่อดูว่ามีตับแข็งหรือมะเร็งตับหรือไม่
การตรวจชิ้นเนื้อตับ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะนำชิ้นเนื้อตับเพื่อวินิจฉัยความรุนแรงของโรค
การรักษา

การเลือกใช้ยาจะเป็นหน้าที่ของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะเนื่องจากยามีผลข้างเคียงที่พึงระวังหลายอย่าง ยาที่ใช้อยู่มี interfeon และ lamuvudin

การปฏิบัติตัว

หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายอย่างหักโหมในช่วงที่มีการอักเสบของตับ แต่การออกกำลังอย่างสม่ำเสมอในตับอักเสบเรื้อรังสามารถทำได้
งดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
รับประทานอาหารที่มีประโยชน์และพักผ่อนอย่างพอเพียง ไม่ต้องดื่มน้ำหวานมากๆ เพราะทำให้ไขมันสะสมที่ตับเพิ่มขึ้น
ถ้าเคยเป็นแล้วจะมีโอกาสติดเชื้ออีกหรือไม่

ถ้าเป็นไวรัสตับอักเสบ เอ และ อี จะหายขาด ไวรัสตับอักเสบ บี ร้อยละ 90 หายขาด ส่วนไวรัสตับอักเสบ ซี และ ดี ยังไม่มีข้อมูล

พาหะของโรคจะทำอย่างไร

ผู้ป่วยที่เป็นพาหะ คือ ผู้ที่มีเชื้อไวรัสตับอักเสบอยู่ในร่างกาย แต่ไมแสดงอาการของตับอักเสบ ผู้ป่วยกลุ่มนี้สามารถแพร่เชื้อสู่ผู้อื่น และต้องมั่นติดตามการดูแลจากแพทย์เป็นระยะๆ ผู้ป่วยที่เป็นพาหะมักเป็นกับเชื้อ บี และ ซี เท่านั้น

ถ้ามารดาเป็นตับอักเสบจะมีผลอย่างไรต่อบุตร

บุตรที่คลอดจากมารดาที่มีเชื้อไวรัสตับอักเสบ บีจะมีโอกาสติดเชื้อได้สูง แต่ปัจจุบันการฉีดวัคซีนให้กับทารกสามารถป้องกันการติดเชื้อได้ แม่สามารถให้นมบุตรได้

โรคหิด Scabies

หิด Scabies


เป็นการติดเชื้อปาราสิตที่มีชื่อว่า Sarcoptes scabiei ตัวเมียจะฝังตัวใต้ผิว และขึ้นมาวางไข่วันละ 2-3 ฟอง ไข่จะใช้เวลาในการฟักตัวประมาณ 10 วันจึงจะเป็นตัวอ่อน

การติดต่อ


โรคนี้จะติดต่อโดยการสัมผัส ระหว่างผิวหนังที่เป็นโรคและผิวหนังปกติ การติดต่อมักจะเกิดเมื่อนอนร่วมกันเป็นเวลานาน การร่วมเพศอย่างเดียวมีโอกาศติดเชื้อนี้น้อย

นอกจากนั้นโรคนี้ยังติดต่อโดยการจับมือ เสื้อผ้า หรือเครื่องใช้ แม้กระทั่งฝาโถส้วมก็สามารถติดต่อได้ เมื่อได้รับเชื้อแล้ว 4-6 สัปดาห์จึงจะเกิดอาการคันดังนั้นแม้ว่ายังไม่มีอาการก็สามารถแพร่เชื้อหิดได้

อาการของผู้ที่เป็นโรค


คันมากโดยเฉพาะเวลากลางคืน
มีรอยเคลื่อนที่ของตัวปาราสิตเป็นรูป s
ผิวหนังสีตุ่มสีน้ำตาล

ตำแหน่งที่ติดเชื้อบ่อยคือ ซอกนิ้วมือนิ้วเท้า หัวเหน่า ขาหนีบ ข้อมือ เต้านม อัณฑะ ท้อง ส่วนบริเวณที่พบน้อยได้แก่ฝ่ามือฝ่าเท้า

การวินิจฉัย


ขูดบริเวณที่เป็นโรคแล้วส่องกล้องจุลทัศน์จะพบตัวเชื้อโรค
ใช้เข็มขูดตามแนวทางเดินเพื่อเอาตัวเชื้อออกมาตรวจ
การรักษา


หลักการรักษาจะต้องรักษาสมาชิกในครอบครัวที่มีความใกล้ชิด และรักาาคู่นอน เสื้อผ้า เครื่องใช้ส่วนตัวก่อนหน้าการรักาาสามวันให้แยกออกไว้อย่างน้อย 3 วัน หรือซักด้วยน้ำร้อนและอบแห้ง

ยาที่ใช้รักษาได้แก่ Permethrin cream ทาตั้งแต่คอลงมาทิ้งไว้ 8 ชั่วโมงแล้วล้างออก
ยาที่เป็นทางเลือก Lindane ทาตั้งแต่คอลงมาทิ้งไว้ 8 ชั่วโมงแล้วล้างออก
ไม่ควรใช้ยานี้ในบริเวณผิวหนังที่มีแผล หรือหลังอาบน้ำใหม่ๆ เด็กอายุต่ำกว่า 2 ปี คนท้อง คนที่มีประวัติโรคชัก
การรักษาควรจะรักษาทั้งครอบครัว หรือคู่นอน ที่อยู่ด้วยกันอย่างใกล้ชิด
อาการคันมักจะเกิดจากภูมิแพ้ต่อตัวหิดและอุจาระ ดังนั้นอาจจะมีอาการคันหลังรักษา แต่หากอาการคันเป็นนานเกินสองสัปดาห์หรือมีผื่นเกิดขึ้นใหม่อาจจะพิจารณารักษาใหม่
ยาที่ใช้รักษา

Permethrin cream 5%

ยานี้ฆ่าทั้งตัวเชื้อ และไข่ ให้ทาอาทิตย์ละครั้งสองอาทิตย์ติดต่อกันเป็นยาที่องค์การอาหารและยาของอเมริกาแนะนำให้ใช้

Crotamiton lotion 10% and Crotamiton cream 10%

Lindane lotion 1%

เนื่องจากยานี้มีผลข้างเคียงมากจึงไม่แนะนำให้ใช้เป็นยาตัวแรก จะใช้ในกรณีที่ใช้ยาอื่นไม่ได้ผล และไม่ควรใช้ในเด็ก คนที่มีประวัติชัก คนตั้งครรภ์ คนที่กำลังให้นม หรือมีโรคผิวหนัง

Ivermectin

เป็นยารับประทานจะใช้ในกรณีที่ติดเชื้อรุนแรง หรือใช้ยาอื่นแล้วไม่ได้ผล

การป้องกัน


ใช้ยาให้ครบ
รักษาสมาชิกในครอบครัว
งดมีเพศสัมพันธ์ในช่วงที่ยังมีอาการ
นำเสื้อผ้าไปต้มที่อุณหภูมิ 130 องศาและอบร้อนเป็นเวลา 20 นาที
สำหรับอุปกรณ์ที่ต้มไม่ได้ให้ทำความสะอาดแล้วเก็บแยกไว้เป็นเวลา 2 สัปดาห์
สำหรับบ้านที่ใช้พรมให้ใช้เครื่องดูดฝุ่นแล้วนำผงไปทิ้ง

ตัวโลน


เกิดจากตัวเชื้อที่เรียกว่า Pthirus pubis อาศัยอยู่ตามขนโดยเฉพาะบริเวณหัวเหน่าดูดกินเลือดคนเป็นอาหาร หากอดอาหาร 24 ชั่วโมงตัวเชื้อจะตาย

การติดต่อ

ติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เชื้อจะอาศัยอยู่บริเวณขนที่หนา เช่นขนตา ขนคิ้ว ขนบริเวณหัวเหน่าแต่จะไม่ติดบนผม เมื่อมีเพศสัมพันธ์เชื้อจะติดจากขนของคนหนึ่งไปยังอีกคนหนึ่ง
ติดต่อทางอื่นที่มิใช่จากเพศสัมพันธ์ เช่นการนอนเตียงหรือใช้ผ้าเช็ดตัวร่วมกับคนที่ติดเชื้อ ใส่เสื้อผ้าของคนที่ติดเชื้อ หรือนั่งบนโถส้วมที่มีเชื้ออยู่
อาการของตัวโลนเป็นอย่างไร

อาการที่สำคัญคืออาการคันบริเวณที่ติดเชื้อโดยเฉพาะบริเวณหัวเหน่า
อาจจะสังเกตเห็นตัวโลนที่หัวเหน่า
สังเกตพบไข่ที่โคนขนหัวเหน่า
อาจจะพบรอยช้ำบริเวณที่ตัวโลนดูดเลือด
อาจจะพบตัวโลนในบริเวณอื่น เช่นขนรักแร้ เครา ขนคิ้ว ขนตา

การวินิจฉัย

ท่านสามารถเห็นไข่หรือตัวเชื้อด้วยตาเปล่า หรืออาจจะใช้แว่นขยาย
หากท่านสงสัยก็ไปพบแพทย์ซึ่งจะนำไปส่องกล้อง
การรักษา

Permethrin creamทาบริเวณที่ติดเชื้อทิ้งไว้ 10 นาแล้วล้างออก ไม่ใช้บริเวณที่ขนตา
Lindane shampoo ใช้สระขนบริเวณที่เป็นทิ้งไว้ 4 นาทีแล้วล้างออก ไม่ใช้บริเวณขนตา ไม่ใช้ในคนที่เป็นโรคลมชัก ไม่ใช้บริเวณที่มีแผล หรือคนท้อง หรือเด็กอายุน้อยกว่า 2 ปี
Pyrethrins ใช้สระขนทิ้งไว้ 10 นาทีแล้วล้างออก
การป้องกัน

หลังจากรักษา ท่านสามารถกำจัดไข่โดยการใช้เล็บหยิบออก
เปลี่ยนชุดและที่นอนใหม่ที่สะอาด
รักษาคู่ขา
งดร่วมเพศจนกระทั่งรักษาหายขาดแล้ว
หลังจากรักษาแล้วเสื้อผ้า ที่นอน เครื่องใช้ยังติดต่อ เพราะฉะนั้นต้องนำเสื้อผ้า ผ้าห่ม เครื่องนอนทั้งหลายไปต้มและอบแห้งด้วยความร้อน
อุปกรณ์ที่ต้มหรืออบไม่ได้ต้องนำอุปกรณ์ดังเกล่าเก็บไว้ในถุงหรือลังไว้ 2 สัปดาห์

แผลริมอ่อน Chancroid

แผลริมอ่อนเป็น โรคที่ติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่ชื่อว่า Haemophilus Ducreyi โรคนี้ติดต่อได้ง่าย แต่ก็สามารถรักษาให้หายขาด โรคนี้จะทำให้เกิดแผลที่อวัยวะเพศ และต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบโต บางครั้งมีหนองไหลออกมาที่เรียกว่าฝีมะม่วง หากไม่รักษาจะเป็นสาเหตให้เกิดการติดเชื้อ HIV ได้ง่าย

การติดต่อ

โรคนี้ติดต่อได้สองวิธีคือ

ติดต่อทางเพศสัมพันธ์ มีการสัมผัสแผลระหว่างที่มีเพศสัมพันธ์
ติดต่อโดยการปนเปื้อนหนองไปติดผิวหนังส่วนอื่น
อาการของโรคนี้เป็นอย่างไร

ผู้ที่รับเชื้อนี้จะมีอาการหลังจากรับเชื้อแล้ว 3-10 วัน
อาการเริ่มต้นจะเป็นตุ่มนูนและมีอาการเจ็บ หลังจากนั้จะมีแผลเล็กๆ ก้นแผลมีหนอง ขอบแผลนูนไม่เรียบ มีอาการเจ็บมาก แผลเล็กๆจะรวมกันเป็นแผลใหญ่
แผลจะนุ่มไม่แข็ง(โรคซิฟิลิสจะมีขอบแผลแข็ง)
จะมีอาการเจ็บแผลมากในผู้ชาย แต่ผู้หญิงอาจจะไม่มีอาการเจ็บทำให้เกิดการติดต่อสู่ผู้อื่นได้ง่าย
ต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบจะโต กดเจ็บ บางคนแตกเป็นหนองที่เรียกว่าฝีมะม่วง
โรคนี้วินิจฉัยได้อย่างไร

การวินิจฉัยทำได้โดยการน้ำหนองที่ก้นแผลไปย้อมเชื้อก็จะพบเชื้อโรค และยังสามารถเพาะเชื้อเพื่อยืยยันการวินิจฉัยโรค
โรคนี้รักษาอย่างไร

ยาที่ใช้รักษาได้แก่

Azithromycin 1 gram ครั้งเดียว
Ceftriaxone 250 mg ฉีดเข้ากล้ามครั้งเดียว
Ciprofloxacin 500 mg วันละ 2 ครั้งเป็นเวลา 3 วัน ไม่ควรให้ในคนท้อง
Erythromycin 500 mg วันละ 4 ครั้งเป็นเวลา 7 วัน
แผลมากจะดีขึ้นใน 3-7 วัน ระยะเวลาในการรักษาขึ้นกับขนาดของแผล แผลที่มีขนาดใหญ่อาจจะต้องใช้เวลาในการรักษา 2 สัปดาห์

การป้องกัน

อย่าสำส่อนทางเพศ
ใช้ถุงยางอนามัยที่ทำจากยางธรรมชาติ(ป้องกันได้เฉพาะอวัยวะเพศเท่านั้น ผิวหนังส่วนอื่นไม่สามารถป้องกัน)
หากมีแผลให้งดการมีเพศสัมพันธ์
โรคแทรกซ้อน

เนื่องจากเป็นแผลทำให้เกิดการติดเชื้อ HIV ง่ายขึ้น
ต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบอาจจะอักเสบจนแตกเป็นหนองไหลออกมา หากไม่รักษาใน 5-8วันหลังจากเกิดแผล
แผลอาจจะเกิดการติดเชื้อแบคทีเรีย
หากเป็นแผลที่หนังอวัยวะเพศชายอาจจะเกิดพังผืด

ซิฟิลิส Syphilis

เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่เรียกว่า Treponema pallidum เชื้อนี้สามารถเข้าสู่ร่างกายทางเยื่อเมือกเช่น ช่องคลอด ท่อปัสสาวะ ปาก เยื่อบุตา หรือทางผิวหนังที่มีแผล เมื่อเชื้อเข้าสู่ร่างกายจะเข้ากระแสเลือด และไปจับตามอวัยวะต่างๆทำให้เกิดโรคตามอวัยวะ โรคนี้แบ่งออกเป็น 4 ระยะได้แก่

primary
secondary
latent
tertiary (or late)
คนเราติดเชื้อโรคนี้ได้อย่างไร

ทางเพศสัมพันธ์

เชื้อโรคสามารถติดต่อทางเพศสัมพันธ์โดยผ่านทางเยื่อบุช่องคลอด ท่อปัสสาวะ
เชื้อโรคจะติดต่อได้บ่อยในระยะ primary เนื่องจากระยะนี้จะไม่มีอาการ
ในระยะ secondary จะมีหูดระยะนี้จะมีเชื้อโรคปริมาณมากหากสัมผัสอาจจะทำให้เกิดการติดต่อ
การติดต่อทางอื่น

เชื้อจะอ่อนแอตายง่ายดังนั้นการสัมผัสมือหรือการนั่งโถส้วมจะไม่ติดต่อ
หากผิวหนังที่มีแผลสัมผัสกับแผลที่มีเชื้อก็ทำให้เกิดการติดเชื้อ
จากแม่ไปลูก

เชื้อสามารถติดจากแม่ไปลูกขณะตั้งครรภ์และขณะคลอด

อาการของโรค

Primary Syphilis

ในระยะ primary รอยโรคจะปรากฏเป็นแผลริมแข็ง Chancre ซึ่งจะมีลักษณะที่สำคัญดังนี้

หลังจากได้รับเชื้อ 10-90 วันจะมีตุ่มแดงแตกออกเป็นแผลที่อวัยวะเพศตรงบริเวณที่เชื้อเข้า
แผลมักจะเป็นแผลเดียว ไม่เจ็บ ขอบนูน ต่อมน้ำเหลืองจะโตกดไม่เจ็บ
ตำแหน่งที่พบได้บ่อยได้แก่ อวัยวะเพศชาย อัณฑะ ทวารหนัก ช่องคลอด ริมฝีปาก
แผลจะอยู่ 1-5สัปดาห์แผลจะหายไปเอง
แม้ว่าแผลจะหายไปแต่ยังคงมีเชื้ออยู่ในกระแสเลือด
สำหรับผู้ที่เป็นโรคเอดส์ และมีขนาดใหญ่และมีอาการเจ็บมาก
การตรวจเลือกในช่วงนี้อาจจะให้ผลลบได้ร้อยละ30
Secondary Syphilis

ระยะนี้จะเกิดหลังได้รับเชื้อ 17วัน- 6 เดือน
ผู้ป่วยจะมีอาการอยู่ประมาณ 2-6 สัปดาห์แล้วจะหายไปแม้ว่าจะไม่ได้รับการรักษา
ต่อมน้ำเหลืองโต
ปวดตามข้อเนื่องจากข้ออักเสบ
อาการที่สำคัญมีดังนี้

มีผื่นสีแดงน้ำตาลที่ฝ่ามือ ฝ่าเท้า ไม่คัน
ผื่นนี้สามารถพบได้ทั่วตัว
จะพบหูด Condylomata lata บริเวณที่อับชื้น เช่นรักแร้ ทวารหนัก ขาหนีบ
จะพบผื่นสีเทาในปาก คอ และปากมดลูก
ผมร่วงเป็นหย่อมๆ
ผู้ป่วยจะรู้สึกไม่สบาย
อาการเหล่านี้จะอยู่ได้ 1-3 เดือนหายไปได้เอง และอาจจะกลับเป็นซ้ำ
การตรวจเลือดในช่วงนี้จะให้ผลบวก
Latent Stage ระยะแฝง

ช่วงนี้ผู้ป่วยไม่มีอาการของโรค ช่วงนี้กินเวลา 2-30 ปีหลังจากได้รับเชื้อ
ในช่วงนี้จะทราบได้โดยการเจาะเลือดตรวจ
ในระยะนี้อาจจะเกิดผื่นเหมือนในระยะ Secondary Syphilis
ในระยะนี้หากตั้งครรภ์ เชื้อสามารถติดไปยังลูกได้
Late Stage (Tertiary)

ระยะนี้จะกินเวลา 2-30 ปีหลังได้รับเชื้อ
ระยะนี้เชื้อโรคจะทำลายอวัยวะต่างๆเช่น หัวใจและหลอดเลือด สมองทำให้อ่อนแรงหรืออาจจะตาบอด กระดูกหักง่าย
หากไม่รักษาให้ทัน อวัยวะต่างๆจะถูกทำลายโดยที่ไม่สามารถกลับเป็นปกติ
การตรวจเลือดอาจจะให้ผลลบได้ร้อยละ30
Congenital Syphilis

หมายถึงทารกที่ติดเชื้อตั้งแต่อยู่ในครรภ์ เด็กจะมีอาการดังนี้

เด็กจะมีอาการหลังคลอด 3-8 สัปดาห์
อาการอาจจะมีเล็กน้อยจนไม่ทันสังเกตเห็น ทำให้ไม่ได้รับการรักษา
เด็กโตขึ้นจะกลายเป็นระยะ Late Stage (Tertiary)
จะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นซิฟิลิส

การตรวจวินิจฉัยโรคนี้สามารถทำได้โดยการนำหนองจากแผล หรือเลือดไปตรวจหาตัวเชื้อ การตรวจเชื้อทำได้โดย

>>>>Darkfield Exam<<<< การตรวจทำไดโดยการน้ำเหลืองจากแผลหรือผื่นที่สงสัยไปตรวจ นำน้ำเหลืองนั้นไปส่องกล้องเพื่อหาตัวเชื้อ การตรวจนี้สามารถวินิจฉัยได้ทั้งระยะ Primary Syphilis และ Secondary Syphilis >>>>การตรวจเลือด<<<<

การเจาะเลือดตรวจหาภูมิต่อเชื้อซิฟิลิสทำได้ 2วิธีคือ
การเจาะเลือดเพื่อหาภูมิคุ้มกันซึ่งไม่เฉพาะเจาะจงต่อเชื้อซิฟิลิส ได้แก่การเจาะ VDRL (Venereal Disease Research Laboratory) หรือ RPR (Rapid Plasma Reagent) หากให้ผลบวกต้องเจาะเลือดอีกเพื่อยืนยันการวินิจฉัย
การเจาะเลือดเพื่อยืนยันการวินิจฉัยโดยการเจาะ FTA-ABS (Fluorescent Treponemal Antibody Absorption Test) หรือ MHA-TP (Microhemagglutination-Treponema Pallidum)
ข้อควรระวังสำหรับผู้ที่เคยเป็นซิฟิลิสมาก่อนอาจจะให้ผลบวกหลอกโดยที่ไม่เป็นโรค

Cerebrospinal Fluid Test การตรวจน้ำไขสันหลังจะทำในรายสงสัยว่าจะมีการติดเชื้อในระบบประสาท
การรักษาโรคนี้ต้องทำอย่างไร

ยาที่ใช้รักษาคือ Penicillin
การรักษาต้องรักษาทั้งคู่
หลังจากรักษา 6 เดือนต้องตรวจซ้ำหลังจากนั้นตรวจทุกปี

หูดข้าวสุข Molluscum Contagiosum

ป็นการติดเชื้อ poxvirus ที่ผิวหนังทำให้เกิดผื่นนูนเล็ก

สาเหตุ

เกิดจากเชื้อไวรัสที่เรียกว่า poxvirus คนเราได้เชื้อนี้ 3 วิธีได้แก่

จากการสัมผัสโดยตรง มักจะเกิดในเด็กตำแหน่งที่พบได้แก่ หน้า คอ รักแร้ แขน มือ แต่ไม่ค่อยพบที่ฝ่ามือ ฝ่าเท้า
จากการใช้ของร่วมกัน เช่น ผ้าเช็ดตัว แก้วน้ำ ของเล่น
จากเพศสัมพันธ์
อาการของโรค

จะมีตุ่มเล็ก มีรอยบุ๋มตรงกลาง ตุ่มนูนไม่เจ็บ สีออกชมพู ผื่นจะเรียงตามรอยเกา ไม่มีลักษณะบวมหรือแดงรอบผื่น ไม่เจ็บ

การวินิจฉัย

จะทำได้จากอาการและสิ่งที่ตรวจพบ หรือในรายที่ไม่แน่ใจอาจจะตัดชิ้นเนื้อตรวจ
การรักษา

โรคส่วนใหญ่หายได้เอง แต่การตัดออกจะป้องกันการแพร่กระจายไปส่วนอื่น
การกำจัดอาจจะใช้การผ่าตัดเอาออก ใช้ laser หรือจี้ด้วยไฟฟ้า
หรืออาจจะใช้สารเคมีเช่น podophyllin, cantharidin, phenol, silver nitrate, trichloracetic acid or iodine แต่ไม่แนะนำเพราะจะเกิดโรคแทรกซ้อน
ใช้ความเย็นจี้ Cryotherapy
สำหรับคนที่ตั้งครรภ์ไม่แนะนำให้ใช้ยาทา
ผื่นส่วนใหญ่จะหายเองในระยะเวลา 6-18 เดือน

การป้องกัน

การสวมถุงยางจะป้องกันได้เฉพาะผิวหนังขององคชาติและช่องคลอดเท่านั้น ไม่สามารถป้องกันผิวหนังบริเวณอื่น
ช่วงที่เป็นโรคไม่ควรจะมีเพศสัมพันธ์
ให้มีสามีหรือภรรยาคนเดียว
ไม่ใช้ของร่วมกัน

โรคหนองในแท้ Gonorrhea

เป็นโรคที่ติดต่อทางเพศสัมพันธ์จากเชื้อแบคทีเรียชื่อ Neisseria gonorrhoea เชื้อนี้จะทำให้เกิดโรคเฉพาะเยื่อเมือก mucous membrance เช่น

เยื่อเมือกในท่อปัสสาวะ ช่องคลอด ปากมดลูก และเยื่อบุมดลูก
ท่อรังไข่
ทวารหนัก
เยื่อบุตา
คอ
โรคนี้ติดต่ออย่างไร

โรคนี้ติดต่อทางเพศสัมพันธ์ไม่ว่าจะทางปาก ช่องคลอดหรือทางทวาร
การร่วมเพศทางปากจะทำให้เชื้อสามารถติดต่อจากปากไปอวัยวะเพศ หรือจากอวัยวะเพศไปยังปาก
หากช่องคลอดหรืออวัยวะดังกล่าวปนเปื้อนหนองที่มีเชื้อ ก็สามารถติดเชื้อนี้ได้โดยที่ไม่จำเป็นต้องมีการร่วมเพศ
หากคุณมีคู่ขามากเท่าใดคุณก็จะมีโอกาสติดเชื้อนี้เพิ่มขึ้น
การจับมือหรือการนั่งฝาโถส้วมไม่ทำให้เกิดการติดเชื้อ
อาการของโรคนี้เป็นอย่างไร

ผู้ชายมักจะเกิดอาการหลังจากได้รับเชื้อไปแล้ว 2-5 วันอาการเริ่มจะมีอาการระคายเคืองท่อปัสสาวะ หลังจากนั้นจะมีอาการปวดแสบเวลาปัสสาวะ แล้วจึงตามด้วยอาการมีหนองสีเหลืองไหลออกจากท่อปัสสาวะ
ส่วนผู้หญิงส่วนใหญ่จะไม่มีอาการ หากจะมีอาการมักจะเกิดใน 10 วัน
อาการของโรคจะเหมือนกับการติดเชื้อ chlamydia
การติดเชื้อที่คออาจจะไม่มีอาการ หรืออาจจะมีอาการเจ็บคอ ไข้
หากติดเชื้อทีตาจะมีหนองไหลและเคืองตา conjunctivitis
>>>>>>ผู้ชาย<<<<< อาจจะไม่มีอาการ มีหนองสีเหลืองไหลออกจากอวัยวะเพศ ปัสสาวะขัด อัณฑะบวม หรือมีการอักเสบ >>>>>>ผู้หญิง<<<<< ผู้หญิงที่ได้รับเชื้อนี้จะมีอาการช้ากว่าผู้ชายโดยเฉลี่ยจะเกิดอาการหลังได้รับเชื้อแล้ว 1-3 สัปดาห์ อาการที่พบไม่มากจนกระทั่งผู้ป่วยไม่ให้ความสนใจ จะสงสัยว่าเป็นโรคนี้เมื่อคนที่ร่วมเพศด้วยป่วยเป็นโรคนี้ ตกขาว หรือเลือดผิดปกติ ปัสสาวะขัด การวินิจฉัย เราสามารถรู้ว่าเป็นโรคหนองในแท้หรือไม่โดยการตรวจ นำหนองหรือปัสสาวะมาตรวจ PCR นำหนองมาย้อมหาเชื้อ นำหนองไปเพาะเชื้อ ข้อสำคัญคือท่านอาจจะต้องตรวจหาโรคที่ติดต่อทางเพศสัมพันธ์ชนิดอื่นร่วมด้วย การรักษา เนื่องจากผู้ที่ป่วยเป็นโรคหนองในแท้มักจะมีหนองในเทียมร่วมด้วยเสมอดังนั้นจึงต้องรักษาพร้อมกันทั้งสองโรค ยาในกลุ่ม Cephalosporin ได้แก่ Cefixime 400 มิลิกรัมรับประทานครั้งเดียว หรือ Ceftriaxone 250 มิลิกรัมฉีดครั้งเดียว ยาในกลุ่ม Quinolone ได้แก่ยา Ciprofloxacin 500 mg รับประทานครั้งเดียว หรือ Ofloxacin 400 mg รับประทานครั้งเดียว หรือ Levofloxacin รับประทานครั้งเดียว หากแพ้ยาดังกล่าวอาจจะให้ spectinomycin การรักษาหนองในแท้มักจะรักษาหนองในเทียมร่วมด้วยโดยการให้ doxycycline 1 เม็ดเช้าเย็นเป็นเวลา 7 วัน คนท้องต้องปรึกษาแพทย์ เนื่องจากเชื้อมีการดื้อยามากขึ้นท่านต้องรับประทานยาให้ครบ และตรวจซ้ำตามที่แพทย์แนะนำและต้องพาคู่ของท่านไปตรวจรักษาด้วย การป้องกันติดโรคนี้ การป้องกันที่ดีที่สุดคือการงดมีเพศสัมพันธ์ มีสามีหรือภรรยาคนเดียว สวมถุงยางอนามัยหากมีเพศสัมพันธ์กับคนที่ไม่แน่ใจว่าจะมีโรคติดต่อหรือไม่ โรคแทรกซ้อนที่สำคัญ >>>>>>ผู้ชาย<<<<< ต่อมลูกหมากอักเสบ อัณฑะอักเสบ ท่อปัสสาวะตีบ ทำให้ปัสสาวะไม่ออก เป็นหมัน >>>>>>ผู้หญิง<<<<<

อุ้งเชิงกรานอักเสบ
ปวดประจำเดือน
แท้ง
กระเพาะปัสสาวะอักเสบ
ปากมดลูกอักเสบ
เด็กที่เกิดในขณะที่แม่เป็นโรคนี้อาจจะมีการอักเสบของตา ข้ออักเสบ เชื้อเข้ากระแสโลหิต

เริม Herpes simplex

เชื้อ herpes virus [HSV]เป็นสาเหตุที่สำคับของการติดเชื้อเริมที่ผิวหนัง ริมฝีปาก และอวัยวะเพศและอาจจะติดเชื้อที่ส่วนอื่นของร่างกาย และอาจจะเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ ลักษณะผื่นของโรค herpes จะเหมือนกันไม่ว่าเกิดที่ไหน จะเป็นตุ่มน้ำเล็กๆบนผิวหนังที่อักเสบสีแดง

เชื้อ herpes มีสองชนิดคือ

Herpes simplex virus 1 (HSV-1) มักเกิดบริเวณปากและผิวหนังเหนือสะดือขึ้นไปเกิดที่ปากเรียก Herpes labialis โรคนี้ไม่ติดต่อทางเพศสัมพันธ์
Herpes simplex virus 2 (HSV-2) เชื้อมักเกิดบริเวณอวัยวะเพศ และติดต่อโดยเพศสัมพันธ์เรียก Herpes genitalis
เมื่อเชื้อเข้าสู่ร่างกายและอยู่ในชั้นของผิวหนังเชื้อจะแบ่งตัว ทำให้ผิวหนังเกิดอาการบวมเป็นตุ่มน้ำและเกิดการอักเสบ หลังจากนั้นเชื้อจะเคลื่อนย้ายเข้าสู่ปมประสาท ganglia เป็นเวลานานโดยที่ไม่มีการแบ่งตัวถ้า หากปัจจัยแวดล้อมเหมาะสมเชื้อก็เกิดการแบ่งตัว ทำให้เกิดอาการเป็นซ้ำผู้ป่วยที่เป็นเริมที่ริมฝีปากจะมีอัตราการเกิดซ้ำประมาณร้อยละ 20-40 สำหรับเริมที่อวัยวะเพศจะมีอัตราการเกิดเป็นซ้ำประมาณร้อยละ 80 ปัจจัยที่กระตุ้นไม่แน่นชัดเชื่อว่าอาจจะเกี่ยวข้องกับแสงแดด ไข้ การมีประจำเดือน ความเครียด การเกิดเป็นซ้ำจะมีอาการน้อยกว่าและหายเร็วกว่าการเกิดเป็นครั้งแรก


อาการของการติดเชื้อ herpes simplex

อาการเริมต้นจะมีอาการปวดแสบปวดร้อนตำแหน่งที่ได้รับเชื้ออาการของการติดเชื้อที่ปาก และที่อวัยวะเพศจะเหมือนๆกันเพียงแต่ขึ้นกันคนละที่อาการจะแบ่งเป็น การเป็นครั้งแรก Primary Infection ระยะปลอดอาการ Latency and Shedding และอาการกลับเป็นซ้ำ Recurring Infections

การเป็นครั้งแรก Primary Infection เริ่มด้วยอาการปวดแสบร้อน ต่อมาจะมีอาการบวม และอีก 2-3 วันจะมีตุ่มน้ำใสเกิดบนฐานสีแดงตุ่มน้ำแตกออกใน 24 ชั่วโมงและตกสะเก็ด ตุ่มอาจจะรวมเป็นกลุ่มใหญ่และเป็นแผลกว้างทำให้ปวดมาก แผลจะหายใน 2-3 สัปดาห์ ตำแหน่งที่พบได้บ่อยได้แก่ ปาก ริมฝีปาก ตา เมื่อแผลแห้งแล้วจะไม่ติดต่อระหว่างที่เป็นผื่นต่อมน้ำเหลืองใกล้ๆ อาจจะโต และอาจจะมีไข้ปวดเมื่อยตามตัว
ระยะปลอดอาการ Latency and Shedding ช่วงนี้เชื้ออยู่ในร่างกายโดยที่ไม่เกิดอาการอะไร เชื้ออาจจะแบ่งตัวและสามารถติดต่อได้โดยเฉพาะเชื้อที่อวัยวะเพศแม้ว่าจะไม่มีผื่น
อาการกลับเป็นซ้ำ Recurring Infections มีอาการน้อยกว่า และเป็นพื้นที่น้อยกว่าไม่ค่อยมีไข้ และมักเป็นบริเวณใกล้กับที่เดิม โดยเฉพาะที่อวัยวะเพศอาจจะกลับเป็นซ้ำได้ 5 ครั้งต่อปี

โรคหงอนไก่

โรคหงอนไก่เป็นโรคติดเชื้อที่ผิวหนังเกิดจากเชื้อ HPV มักจะเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ลักษณะเป็นผื่นยื่นออกมา การรักษาจะทำได้โดยการจี้ด้วยยา

โรคหงอนไก่ที่อวัยวะเพศ

โรคหูดที่อวัยวะเพศหรือที่เรียกว่า Condyloma acuminatum เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เกิดจากเชื้อไวรัสที่เรียกว่า human papillomavirus (HPV) ซึ่งมีมากกว่าร้อยชนิด โรคหูดส่วนใหญ่ร้อยละ 90 เกิดจากเชื้อ HPV type 6,11ซึ่งไม่ก่อให้เกิดโรคมะเร็ง ชนิดที่อาจจะก่อให้เกิดมะเร็งได้แก่ชนิด types 33, 35, 39, 40, 43, 45, 51-56, 58 ชนิดชนิดที่ทำให้เกิดมะเร็งได้มากได้แก่ชนิด (types 16, 18)

ตำแหน่งที่พบโรคหูด

โรคหูดที่อวัยวะเพศตำแหน่งที่พบบ่อยได้แก่ อวัยวะเพศชาย penis, แคมใหญ่ vulva, ช่องคลอด vagina, ปากมดลูก cervix, บริเวณหัวเหน่า perineum, และบริเวณรอบๆทวารหนัก perianal ตำแหน่งอื่นที่อาจจะพบได้แก่ คอ หลอดลม บางแห่งติดเชื้อแต่ไม่มีอาการซึ่งจะเป็นสาเหตุให้เกิดมะเร็ง

ลักษณะของหูดเป็นอย่างไร

หูดจะมีลักษณะแบน สีออกชมภูหรือดำ มักจะไม่เป็นติ่ง มักจะเกิดได้หลายๆแห่ง

โรคนี้พบบ่อยแค่ไหน

เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่พบบ่อยที่สุด มักจะพบในวัยรุ่นและวัยหนุ่ม
ผู้ที่มีโรคทำให้ภูมิอ่อนแอ เช่นโรคเบาหวาน ผู้ที่ได้รับยาเคมีบำบัด ผู้ป่วยโรคมะเร็ง ผู้ป่วยเหล่านี้จะมีขนาดของหูดใหญ่กว่าปกติ กลับเป็นซ้ำหรือมีโรคแทรกว้อน
โรคนี้อาจจะกำเริบในขณะตั้งครรภ์ทำให้หูดมีขนาดใหญ่และขวางการคลอดตามธรรมชาติ

การป้องกัน

เชื้อเอชไอวีติดต่อกันได้สามวิธีหลักๆ คือการมีเพศสัมพันธ์ การสัมผัสสารคัดหลั่งหรือเนื้อเยื่อ และจากมารดาไปสู่ทารกปริกำเนิด นอกจากนี้ยังอาจพบเชื้อได้ในน้ำลาย น้ำตา และปัสสาวะของผู้ติดเชื้อ แต่ยังไม่มีรายงานการติดเชื้อ ความเสี่ยงของการติดเชื้อผ่านการสัมผัสสารคัดหลั่งเหล่านี้อาจถือได้ว่าไม่มี[

สาเหตุการติดเชื้อ

เชื้อไวรัสเอชไอวีพบในเลือดและสารคัดหลั่งหลายชนิดของร่างกาย ได้แก่ น้ำอสุจิ เมือกในช่องคลอดสตรี น้ำนม น้ำลาย และอาจพบได้ในปริมาณน้อยๆ ในน้ำตาและปัสสาวะ เมื่อพิจารณาจาก แหล่งเชื้อแล้วจะพบว่าเชื้อไวรัสเอชไอวีติดต่อได้ หลายวิธีคือ
การมีเพศสัมพันธ์ เกิดขึ้นได้ทั้งการมีเพศสัมพันธ์กับเพศเดียวกัน และกับเพศตรงข้าม
การรับเลือดและองค์ประกอบของเลือด การปลูกถ่ายอวัยวะรวมทั้งไขกระดูกและน้ำอสุจิที่ใช้ผสมเทียมซึ่งมีเชื้อ แต่ในปัจจุบันปัญหานี้ได้ลดลงไปจนเกือบหมด เนื่องจากมีการตรวจเลือดหาการติดเชื้อเอชไอวีในผู้บริจาคเหล่านี้ รวมทั้งคัดเลือกกลุ่มผู้บริจาคซึ่งไม่มีพฤติกรรมเสี่ยงต่อการติดเชื้อ เช่น ไม่รับบริจาคเลือดจากผู้ติดยาเสพติดชนิดฉีดเข้าเส้น เป็นต้น
การใช้เข็มหรือกระบอกฉีดยาเสพติดร่วมกัน และของมีคมที่สัมผัสเลือด
จากมารดาสู่ทารก ทารกมีโอกาสรับเชื้อได้หลายระยะ ได้แก่ เชื้อไวรัสแพร่มาตามเลือดสายสะดือสู่ทารกในครรภ์ ติดเชื้อขณะคลอด จากเลือดและเมือกในช่องคลอด ติดเชื้อในระยะเลี้ยงดูโดยได้รับเชื้อจากน้ำนม จะเห็นได้ว่าวิธีการติดต่อเหล่านี้เหมือนกับไวรัสตับอักเสบบีทุกประการ ดังนั้นถ้าไม่มีพฤติกรรมเสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัสเอชไอวี ก็จะไม่เสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี ด้วย

เอดส์

ความหมายของเอดส์
คำว่า เอดส์ มาจากภาษาอังกฤษว่า AIDS ซึ่งย่อมาจากคำเต็มว่า Acquired Immune Deficiency Syndrome ซึ่งแต่ละคำมีความหมายดังนี้
A = Acquired หมายถึง เกิดขึ้นภายหลัง ไม่ได้เป็นมาแต่กำเนิดหรือสืบทอดทางกรรมพันธุ์
I = Immune หมายถึง ระบบภูมิต้านทานหรือระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย
D = Deficiency หมายถึง ความบกพร่อง การขาดไปหรือเสื่อม
S = Syndrome หมายถึง กลุ่มอาการคือมีอาการหลาย ๆ อย่างไม่เฉพาะที่ระบบใดระบบหนึ่ง
รวมแปลว่า “กลุ่มอาการภูมิคุ้มกันเสื่อม” เป็นกลุ่มอาการของโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัสเอชไอวี เมื่อเข้าสู่ร่างกายจะเข้าไปทำลายเม็ดเลือดขาว ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย เสื่อมหรือบกพร่องลง เป็นผลทำให้เป็นโรคติดเชื้อหรือเป็นมะเร็งบางชนิดได้ง่ายกว่าคนปกติ อาการมักจะรุนแรง เรื้อรัง และเสียชีวิตในที่สุด

พยาธิสรีรวิทยา
เชื้อเอชไอวีเป็นเชื้อไวรัสในกลุ่ม Lentivirus ซึ่งเป็นกลุ่มย่อยของกลุ่มไวรัส Retrovirus ไวรัสกลุ่มนี้ขึ้นชื่อในด้านการมีระยะแฝงนาน การทำให้มีเชื้อไวรัสในกระแสเลือดนาน การติดเชื้อในระบบประสาท และการทำให้ภูมิคุ้มกันของผู้ติดเชื้ออ่อนแอลง เชื้อเอชไอวีมีความจำเพาะต่อเม็ดเลือดขาวชนิด CD4 T lymphocyte และ Monocyte สูงมาก โดยจะจับกับเซลล์ CD4 และฝังตัวเข้าไปภายใน เชื้อเอชไอวีจะเพิ่มจำนวนโดยสร้างสายดีเอ็นเอโดยเอนไซม์ Reverse transcryptase หลังจากนั้นสายดีเอ็นเอของไวรัสจะแทรกเข้าไปในสายดีเอ็นเอของผู้ติดเชื้ออย่างถาวร และสามารถเพิ่มจำนวนต่อไปได้

อาการ
เชื้อเอชไอวีทำลายเม็ดเลือดขาวชนิดลิมโฟไซท์ ที่มีชื่อว่า CD4 เมื่อเม็ดเลือดขาวชนิดนี้ต่ำลง จะทำให้ร่างกายขาดภูมิคุ้มกัน และเกิดอาการของโรคติดเชื้อฉวยโอกาสแทรกซ้อนในที่สุด
ภายหลังการได้รับเชื้อ ร่างกายต้องใช้เวลาในการสร้างปฏิกิริยาตอบสนองต่อเชื้อ ในปัจจุบันในการวินิจฉัยว่าติดเชื้อหรือไม่ เราไม่ได้ตรวจหาเชื้อโดยตรง แต่เป็นการตรวจว่าร่างกายเรามีปฏิกิริยาต่อเชื้อหรือไม่ โดยการตรวจหาแอนติบอดีต่อเชื้อเอชไอวี (Anti-HIV antibody) ซึ่งการตรวจดังกล่าวอาจให้ผลลบได้ในกรณีที่ได้รับเชื้อมาใหม่ ๆ เนื่องจากร่างกายยังไม่ได้สร้างปฏิกิริยาตอบสนอง
ภายหลังการรับเชื้อบางรายอาจไม่มีอาการใด ๆ เลย บางรายอาจมีอาการเหมือนการติดเชื้อไวรัสทั่ว ๆ ไป เช่น มีไข้ ผื่นตามตัว ต่อมน้ำเหลืองโต เจ็บคอ อาการมักกินเวลาสั้น ๆ และหายไปได้เอง หลังจากนั้นผู้ป่วยจะไม่มีอาการใด ๆ เลย
เชื้อไวรัสจะส่งผลให้ระดับเม็ดเลืดขาวที่เรียกว่าซีดีโฟร์ลดลงอย่างช้า ๆ จนผู้ป่วยเริ่มเกิดอาการของเอชไอวีเกิดขึ้น เช่นฝ้าในปาก ผึ่นคันตามตัว น้ำหนักลด โดยส่วนใหญ่มักเกิดอาการเมื่อระดับซีดีโฟร์ต่ำกว่า 200 cell/mm3
อัตราเฉลี่ยของประเทศไทยตั้งแต่รับเชื้อจนเริ่มป่วยใช้เวลา 7-10 ปี ในช่วงที่เรามีเชื้อเอชไอวีอยู่ในร่างกายแต่ไม่ป่วยเพราะเรายังมีภูมิคุ้มกันที่ยังควบคุม หรือจัดการกับเชื้อโรคที่เข้าสู่ร่างกายได้ เรียกว่า เป็นผู้ติดเชื้อ และเมื่อภูมิคุ้มกันถูกทำลายเหลือจำนวนน้อย จนไม่สามารถควบคุม หรือจัดการกับเชื้อโรคบางอย่างได้ทำให้เราป่วยด้วยเชื้อโรคนั้น ๆ เรียกว่าเราเริ่มมี ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง เป็นผู้ป่วยเอดส์ โรคที่เราป่วยเนื่องจากภาวะภูมิบกพร่อง เรียกว่า โรคฉวยโอกาส

กลุ่มที่เสี่ยงต่อการติดโรค

การมีเพศสัมพันธ์กับชายหรือหญิงบริการใน 3 เดือนที่ผ่านมา
การมีคู่นอนมากกว่า 1 คนใน 3 เดือนที่ผ่านมา
การมีเพศสัมพันธ์กับคู่คนใหม่ใน 3 เดือนที่ผ่านมา
การที่มีประวัติป่วยเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ใน 1 ปีที่ผ่านมา
การที่สามีหรือภรรยามีคู่นอนมากกว่า 1 คนใน 3 เดือนที่ผ่านมา
การที่คู่ครองอยู่กันคนละที่

โรคติดต่อทางเพศสัมพันธุ์

โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เริ่มจะพบมากขึ้นในวัยรุ่นซึ่งจะมีเพศสัมพันธ์ก่อนการแต่งงาน โดยที่ขาดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ การป้องกันตัวเองทั้งการตั้งครรภ์และโรคติดต่อ การที่เรามีความรู้เกี่ยวกับการติดต่อ อาการของโรค การรักษา จะเป็นขั้นแรกของการป้องกันโรค ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่ควรทราบ




โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์สามารถเป็นได้ทุกเพศทุกวัย ทุกชนชั้น แต่พบมากในหมู่วัยรุ่น
อัตราการติดเชื้อของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์พบมากขึ้นเนื่องจากวัยรุ่นมีค่านิยมที่จะอยู่ก่อนแต่งงาน หรือนิยมมีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุยังไม่มาก และที่สำคัญมีการหย่าล้างสูงทำให้คนมีสามีหรือภรรยาหลายคน ทำให้โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เพิ่มมากขึ้น
โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์โดยมากมักจะไม่เกิดอาการ ดังนั้นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์สามารถติดต่อโดยที่ไม่รู้ตัว แพทย์บางประเทศจึงแนะนำให้มีการตรวจค้นหาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์สำหรับคนที่สำส่อน
โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ยังก่อให้เกิดปัญหาทางสาธารณสุขอย่างมาก
โรคอาจจะลุกลามไปยังมดลูกหรือท่อรังไข่ทำให้เกิดการอักเสบในช่องท้อง Pelvic inflammatory disease ซึ่งอาจจะก่อให้เกิดการเป็นหมัน หรือตั้งครรภ์นอกมดลูก
โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อาจจะทำให้เกิดโรคมะเร็ง เช่นการติดเชื้อ human papillomavirus infection (HPV) ทำให้เกิดมะเร็งปากมดลูก
โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์สามารถติดต่อไปยังทารกในครรภ์